"มะเร็งเต้านม"คืออะไร?
มะเร็งเต้านม คือ เป็นโรคมะเร็งที่เกิดจากเนื้อเยื่อที่มีความผิดปกติส่วนใดส่วนหนึ่งภายในเต้านมเปลี่ยนแปลงไปเป็นเซลล์มะเร็งและขยายใหญ่ขึ้นจนกลายเป็นก้อนเนื้อร้าย ก่อนจะลุกลามไปสู่เนื้อเยื่อข้างเคียงและแพร่กระจายไปยังเซลล์อื่นของร่างกาย มะเร็งชนิดนี้สามารถพบได้ทั้งในเพศหญิงและเพศชาย แต่พบในเพศชายน้อยมาก
ภายในเต้านมของผู้หญิงจะประกอบไปด้วยต่อมผลิตน้ำนม ท่อน้ำนม เนื้อเยื่อไขมัน ท่อน้ำเหลือง เนื้อเยื่อเกี่ยวพัน หลอดเลือดต่าง ๆ ซึ่งเซลล์มะเร็งส่วนใหญ่ที่พบมักจะเกิดขึ้นบริเวณต่อมผลิตน้ำนม และท่อน้ำนมมากกว่าส่วนอื่น การก่อตัมะเร็งเต้านมสามารถเกิดขึ้นได้กับเซลล์ทุกส่วนภายในเต้านมในลักษณะค่อยเป็นค่อยไป

มะเร็งเต้านมโดยทั่วไปจะหมายถึงมะเร็งที่เกิดจากต่อมประเภทหนึ่ง โดยเซลล์มะเร็งจะมาจากระบบต่อมน้ำเหลือง นอกจากนี้ยังมีประเภทอื่น ตัวอย่างเช่น เกิดจากกล้ามเนื้อ ต่อมไขมันหรือก้อนเนื้อของระบบเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน จะสามารถแบ่งประเภทมะเร็งเต้านมตามทฤษฎีทางการแพทย์ได้ดังนี้ มะเร็งเต้านมแบ่งเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ
- มะเร็งเต้านมที่ลุกลามไปยังท่อน้ำนม
- มะเร็งเต้านมไม่ลุกลามไปที่ท่อน้ำน
อาการของมะเร็งเต้านม
-มะเร็งเต้านมในระยะแรกอาจจะไม่แสดงอาการใด ๆ แต่เมื่อเซลล์มะเร็งเริ่มแพร่กระจายหรือเจริญเติบโตขึ้นเป็นก้อนเนื้อ ผู้ป่วยสามารถสังเกตอาการดังนี้
-มีก้อนเนื้อในเต้านมหรือก้อนที่รักแร้ มักไม่มีอาการเจ็บหรือปวด ลักษณะก้อนเนื้อค่อนข้างแข็ง
-หัวนมบุ๋มลง หรือหัวนมบอด ซึ่งจากเดิมมีลักษณะปกติ
-เต้านมมีขนาดหรือรูปร่างที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม
-เกิดผื่นคันบริเวณเต้านมและรักษาแล้วไม่หายขาด
-บริเวณหัวนมบุ๋ม เป็นแผล มีน้ำเหลืองหรือของเหลวสีคล้ายเลือด
-ผิวหนังบริเวณเต้านมมีอาการบวม แดง เป็นผื่นแดง อาจเกิดการลอก ตกสะเก็ด เป็นแผล
-มีอาการคันบริเวณหน้าอก
อย่างไรก็ตาม อาการข้างต้นไม่ได้เป็นอาการเฉพาะเจาะจงของมะเร็งเต้านมเสมอไป บางส่วนอาจเกิดได้จากสาเหตุอื่น ผู้ที่มีอาการคล้ายในลักษณะข้างต้นควรไปพบแพทย์ เพื่อตรวจหาสาเหตุอย่างละเอียด

ระยะที่ 1 ก้อนมะเร็งมีขนาดเล็กกว่า 2 ซม. และยังไม่มีการแพร่กระจายไปยังต่อมน้ำเหลืองที่รักแร้
ระยะที่ 2 ก้อนมะเร็งมีขนาดระหว่าง 2-5 ซม. และ /หรือมีการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็งไปยังต่อมน้ำเหลืองที่รักแร้ข้างเดียว
ระยะที่ 3 ก้อนมะเร็งมีขนาดใหญ่กว่า 5 ซม. แพร่กระจ่ายไปยังต่อมน้ำเหลืองที่รักแร้ข้างเดียวกันอย่างมาก จนทำให้ต่อมน้ำเหลืองเหล่านั้นมารวมติดกันเป็นก้อนใหญ่หรือติดแน่นกับอวัยวะข้างเคียง
ระยะที่ 4 ก้อนมะเร็งมีขนาดโตเท่าไรก็ได้ แต่พบว่ามีการแพร่กระจายไปยังส่วนอื่นของร่างกายที่อยู่ไกลออกไป เช่น กระดูก ปอด ตับ หรือสมองเป็นต้น
ปัจจัยเสี่ยงในการเกิดมะเร็งเต้านม
1. มีประจำเดือนตั้งแต่อายุน้อย
2. ไม่มีบุตร
3. คลอดลูกคนแรกอายุมาก
4. เคยเป็นมะเร็งเต้านมหรือเนื้องอกที่เต้านม
5. มีประวัติญาติสายตรง (แม่ พี่ น้อง) เป็นมะเร็งเต้านม
6. มีการให้รังสีรักษาที่เต้านมหรือทรวงอก
7. ทำแมมโมแกรมแล้วพบความผิดปกติ
8. กินฮอร์โมนเอสโตรเจนหรือโปรเจสเตอโรน
9. อ้วน
ภาวะแทรกซ้อนของมะเร็งเต้านม
มะเร็งเต้านมสามารถก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนได้หลายกรณี เนื่องมาจากผลของการรักษาที่ทำให้ร่างกายอ่อนแอลง
1. ผู้ป่วยอาจรับประทานอาหารได้น้อย
2. รู้สึกเหนื่อยง่าย
3. อ่อนเพลีย
4. ไม่สดชื่น
5. นอนไม่หลับ
6. มีปัญหาด้านทางอารมณ์
7. มีภาวะบวมน้ำเหลืองในผู้ป่วยมะเร็งเต้านมระยะลุกลาม
1.วิธีการรักษามะเร็งเต้านม
การผ่าตัด เป็นการรักษาที่แพทย์มักใช้กับผู้ป่วยมะเร็งในระยะเริ่มต้น โดยแบ่งการผ่าตัดได้ 2 วิธีหลัก
การผ่าตัดแบบสงวนเต้านมไว้ เป็นการผ่าตัดเฉพาะส่วนที่เป็นก้อนเนื้อร้ายออก ไม่ได้ตัดเต้านมออกทั้งหมด และอาจมีการเลาะต่อมน้ำเหลืองบริเวณใต้รักแร้ออกหากเกิดการลุกลามของเซลล์มะเร็งไปยังต่อมน้ำเหลืองแล้ว ซึ่งการผ่าตัดวิธีนี้จำเป็นต้องมีการฉายแสงควบคู่ไปด้วย เพื่อป้องกันโอกาสการกลับมาเป็นใหม่ของโรค
การผ่าตัดแบบตัดเต้านมออก เป็นการผ่าตัดเอาเต้านมข้างที่มีก้อนเนื้อร้ายออกทั้งเต้า และหากตรวจพบเซลล์มะเร็งแพร่กระจายเข้าไปต่อมน้ำเหลืองที่รักแร้ ก็จะผ่าตัดเลาะต่อมน้ำเหลืองที่รักแร้ออกไปด้วยในคราวเดียวกัน
ทั้งนี้ การรักษามะเร็งเต้านมด้วยการผ่าตัดเป็นวิธีการรักษามะเร็งเต้านมในระยะแรกที่ใช้ได้ผลดี แต่ก็สามารถก่อให้เกิดผลข้างเคียง เช่น การสูญเสียเนื้อเยื่อของเต้านม แผลผ่าตัดติดเชื้อ การเสียเลือด ภาวะแขนบวม
อาการชาบริเวณผ่าตัดคลื่อนไหวของแขนและไหล่ติดขัดหลังการผ่าตัด
2.การรักษารังสี
การฉายรังสีรักษา เป็นการฉายรังสีพลังงานสูงเข้าไปบริเวณที่มีก้อนมะเร็ง เพื่อกำจัดเซลล์มะเร็งหรือป้องกันเซลล์มะเร็งเติบโต ส่งผลให้เซลล์มะเร็งบริเวณที่ได้รับรังสีตาย แต่จะมีผลต่อเซลล์เนื้อเยื่อปกติที่อยู่บริเวณนั้นด้วย ทำให้เกิดผลข้างเคียงของการรักษาขึ้น ซึ่งการฉายรังสีมักจะได้ผลดีเมื่อใช้ควบคู่กับวิธีการรักษาอื่น ๆ เช่น การผ่าตัด การทำเคมีบำบัด ฯลฯ อย่างไรก็ตาม การฉายรังสีอาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงกับคนไข้ได้ โดยจะขึ้นอยู่กับปริมาณรังสีที่ใช้ ระยะเวลาการฉายรังสี บริเวณที่รักษา เทคนิคการฉายรังสี ซึ่งล้วนส่งผลแตกต่างกันในแต่ละบุคคล
ผลข้างเคียงจากการฉายรังสี
1.อ่อนเพลีย
2.คลื่นไส้้ และอาเจียน
3.ปวดเมื่อยตามร่างกาย
4.ผมร่วง
5.การติดเชื้อ
6.การแข็งตัวของเลือดผิดปกติ
7.โลหิตจาง
8.แผลที่เยื่อบุภายในช่องปาก
9.ท้องผูก หรือถ่ายเหลว
3.เคมีบำบัด

เคมีบำบัด เป็นการรักษาโดยการฉีด หรือการรับประทาน โดยเมื่อยาถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดแล้วก็จะสามารถไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกายได้ จึงเหมาะกับโรคมะเร็งที่มีการแพร่กระจายไปทั่วร่างกายแล้ว นอกจากนี้ยังสามารถบรรเทาอาการอัเกิดจากตัวโรคได้โดยทำให้ก้อนมะเร็งมีขนาดเล็กลง และอาจช่วยยืดอายุของผู้ป่วยได้
ผลข้างเคียงจากการเคมีบำบัด
1.อ่อนเพลีย
2.คลื่นไส้ และอาเจียน
3.ปวดเมื่อยตามร่างกาย
4.ผมร่วง
5.การติดเชื้อ
6.การแข็งตัวของเลือดผิดปกติ
7.โลหิตจาง
8.แผลที่เยื่อบุภายในช่องปาก
9.ท้องผูก หรือถ่ายเหลว
4. ยามุ่งเป้า

ยามุ่งเป้า คือ ยารักษาโรคมะเร็งที่ไม่มีผลฆ่าตัวเซลล์มะเร็งโดยตรง แต่สามารถควบคุมเซลล์มะเร็งได้ หยุดยั้งขบวนการในการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง เช่น ต้านการเจริญเติบโตของเส้นเลือดที่ไปหล่อเลี้ยงเซลล์มะเร็ง จึงมีผลให้เซลล์มะเร็งขาดอาหาร ดังนั้น จึงควบคุมโรคมะเร็งได้ ซึ่งต่างจากรังสีรักษาและเคมีบำบัด ซึ่งเป็นการรักษาโดยการทำลายเซลล์มะเร็งโดยตรง
ผลข้างเคียงจากยามุ่งเป้า
(ขึ้นอยู่กับชนิดของยา ซึ่งมีหลากหลายชนิด แต่ผลข้างเคียงรุนแรงน้อยกว่ายาเคมีบำบัดหรือรังสีรักษา)
อาการท้องเดิน
การเกิดสิวบริเวณใบหน้า แขน ขา และลำตัว
รีวิวผู้ป่วยจากผู้ใช้จริง
(ผลลัพธ์ที่ได้อาจแตกต่างตามแต่ละบุคคล)
Flower Pollen Exact
ทางเลือกใหม่สำหรับผู้ป่วยมะเร็งโดยเฉพาะ